8 เหตุผล !! ทำไมกล้องไร้สายถึงไม่เวิร์ค

” กล้องไร้สาย ”  หรือที่หลายๆคนเรียกว่า ” กล้องโรบอท ไวไฟ ” (Robot WIFI CAMERA) ปัจจุบันมีการนำมาใช้งานเป็นกล้องวงจรปิด CCTV กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากราคาถูกหลักร้อย

แต่ด้วยข้อจำกัดมากมายของ ” กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ ”  ส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถเก็บหลักฐาน ภาพคนร้ายได้  วันนี้ทางไมนิคส์ จะอธิบายให้ฟังว่า ทำไมกล้อง ” กล้องโรบอท ไวไฟ ” จึงไม่สามารถทำงานแทนกล้องวงจรปิดได้

1 . กล้องไร้สายโรบอทไวไฟ ต้องพึ่งพา ” อินเตอร์เน็ต ” ตลอดเวลา

ปัจจัยสำคัญของ กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ  (Robot WIFI CAMERA) คือ อินเตอร์เน็ต  เมื่ออินเตอร์เน็ตหลุด ปัญหาที่ตามมาทันที คือ

•  จะไม่สามารถดูภาพสด (LIVE VIEW) ได้
•  จะไม่สามารถเล่นภาพย้อนหลัง (Play Back) ได้
•  บางรุ่นจะไม่มีการบันทึกภาพ (STOP RECORDING) จนกว่า อินเตอร์เน็ตจะกลับมาปกติ

             เมื่อเปรียบเทียบกับ กล้องวงจรปิด CCTV ที่ออกแบบมาให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะมีอินเตอร์เน็ตหรือไม่ก็ตาม กล้อง CCTV สามารถทำงาน ดูภาพสด ( LIVE VIEW)  เล่นภาพย้อนหลัง (Play Back) และ บันทึกภาพ  RECORDING ตลอดเวลาโดยไม่ต้องพึ่งพาอินเตอร์เน็ต

2. ระยะเวลาในการบันทึกภาพ กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ 2-3 วัน (48 ชั่วโมง)

เนื่องจาก กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ ใช้ เม็มโมรี่การ์ด MEMORY CARD ในการบันทึก ขนาด 32-64 GB ทำให้ระยะเวลาการบันทึกทำได้โดยเฉลี่ยไม่เกิน 72 ชั่วโมง (2-3 วัน)  เปรียบเทียบกับกล้องวงจรปิดที่ใช้ ฮาร์ดดิส ในการบันทึกขนาด 1000 GB ทำให้สามารถบันทึกภาพได้ยาวนานถึง 20-30 วัน

การประหยัดเงิน โดยใช้เม็มโมรี่การ์ด MEMORY CARD ที่ไม่ได้คุณภาพราคาถูก ยิ่งทำให้เม็มโมรี่การ์ดเสียเร็ว บ่อยครั้งที่พบว่ากล้องไร้สายไม่มีการบันทึกมานานแล้ว เนื่องจากเม็มโมรี่การ์ดเสียมานาน โดยที่ผู้ใช้งานไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้พลาดการเก็บหลักฐานที่สำคัญไปอย่างน่าเสียดาย

กล้องวงจรปิด CCTV ที่ได้คุณภาพนั้น จะใช้  Harddisk แบบ Surveillance ที่ออกแบบมาสำหรับกล้องวงจรปิดเท่านั้น  บันทึกภาพได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด  และ ยังมีระบบเช็คสุขภาพ Harddisk สม่ำเสมอ (HEALTH CHECK) โดยจะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานทราบทันที เมื่อฮาร์ดดิสเริ่มเกิดปัญหา 

3. ระบบบันทึกภาพแบบ H.264 VS H.265

กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ Robot WIFI CAMERA ใช้ระบบบันทึกภาพแบบเดิม H.264 (ไม่มีระบบประหยัดฮาร์ดดิส)

กล้องวงจรปิด CCTV ใช้ระบบบันทึกภาพแบบใหม่ H.265 (ระบบประหยัดฮาร์ดดิส+ภาพชัดขึ้น)

อ้างอิงเนื้อหาจาก wikipedia.org  

การเข้ารหัสวิดีโอประสิทธิภาพสูง (อังกฤษ: High Efficiency Video Coding หรือ HEVC) หลายครั้งเรียก H.265 คือมาตรฐานการบีบอัดไฟล์วิดีโอ ซึ่งมาแทนมาตรฐาน H.264/MPEG-4 AVC (การเข้ารหัสวิดีโอขั้นสูง) ที่ใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน การเข้ารหัสแบบใหม่นี้อยู่ในขั้นตอนพัฒนาร่วมกันของ ISO/IEC เอ็มเพก และ ITU-T Video Coding Experts Group (VCEG) ภายใต้ชื่อ ISO/IEC 23008-2 MPEG-H Part 2 และ ITU-T H.265^[1][2][3][4] โดยการเข้ารหัสวิดีโอประสิทธิภาพสูงนี้มีอัตราการบีบอัดดีกว่ามาตรฐานปัจจุบันคือ H.264/MPEG AVC ถึงสองเท่า นั่นหมายถึงคุณภาพวิดีโอที่ดีขึ้น และเพื่อเป็นการรองรับโทรทัศน์ความละเอียดสูงยิ่งยวด ซึ่งจะมีความละเอียดจอภาพถึง 8192×4320 พิกเซล

4. ความปลอดภัยของหลักฐาน (ภาพวีดีโอการก่อเหตุของคนร้าย)

    เนื่องจาก “หลักฐานภาพคนร้ายการก่อเหตุ บันทึกอยู่ในเม็มโมรี่การ์ด” ปัญหาที่ตามมาส่วนใหญ่ คือ คนร้ายเมื่อก่อเหตุแล้ว จะถอดกล้องซึ่งมีเม็มโมรี่การ์ดอยู่ในตัวกล้อง เอาไปด้วย ทำให้หลักฐานหายไปกับคนร้าย

     ขณะที่ระบบกล้องวงจรปิด CCTV นั้น ตัวกล้องกับกล่องบันทึกภาพ DVR จะอยู่คนละที่กัน และผู้ใช้จะเก็บกล้อง DVR ไว้ในที่ปลอดภัยเสมอ เช่น อยู่ในตู้ RACK ห้องนอน ห้องทำงาน ทำให้คนร้ายไม่สามารถเอาหลักฐานไปด้วยได้   

5. การเคลื่อนย้ายกล้องทำลายหลักฐาน

กล้องไร้สาย ส่วนใหญ่ผู้ใช้งาน จะวางไว้บนโต๊ะหรือบนตู้ (ไม่ได้ยึดไว้บนที่สูงเหมือนกล้องวงจรปิด CCTV)

ซึ่งการเคลื่อนย้าย ปรับมุม ทำได้ง่าย หาก พนักงานของร้านต้องการทุจริต หรือ มิจฉาชีพที่แกล้งเป็นลูกค้าต้องการก่อเหตุ จะปรับมุมหรือหมุนกล้องไปทางอื่น เพื่อหลบเลี่ยงการโดนบันทึกได้ง่าย

6. ข้อจำกัดการเล่นภาพย้อนหลัง เมื่อเกิดเหตุ

กล้องไร้สาย โรบอท ไวไฟ ดูภาพย้อนหลังผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือเท่านั้น และมักจะเกิดปัญหาดังต่อไปนี้

• จอโทรศัพท์มือถือเล็ก ดูภาพรายละเอียดการก่อเหตุได้ยาก เมื่อเปรียบเที่ยบกับระบบกล้องวงจรปิด CCTV ที่ต่อกับจอภาพขนาดใหญ่ 
• ดูภาพย้อนหลังได้ครั้งละ 1 กล้อง ทำให้เสียเวลาเมื่อค้นหาการก่อเหตุ  ขณะที่กล้องวงจรปิด CCTV ดูภาพได้พร้อมกันได้ 16 กล้อง
• ไม่มีฟังก์ชั่นดูภาพช้า Slow motion หากเหตุการเกิดขึ้นรวดเร็วมากจะแคปภาพนิ่งไม่ได้
• ไม่มีฟังก์ชั่นเล่นภาพเร็ว Fast Forward เมื่อต้องการเร่งให้ภาพเร็วเพื่อค้นหา  ทำให้ต้องเสียเวลามากในการค้นหา
• ไม่สามารถระบุการค้นหาเป็น ชั่วโมง นาที ได้ เช่น ต้องการค้นหาเวลา 13.35 น ต้องใช้นิ้วมือค่อยๆรูดไป ขณะที่กล้องวงจรปิด CCTV ระบุ วัน เวลา ได้ตามต้องการ  
• ต้องใช้นิ้วมือรูดบนหน้าจอในการค้นหาเท่านั้น ขณะที่ กล้องวงจรปิด CCTV ใช้เมาส์คอมพิวเตอร์ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการค้นหาได้

7. เปลี่ยน เราเตอร์ อินเตอร์เน็ต  หรือ เปลี่ยนค่ายเน็ตใหม่ต้องเซ็ทค่าใหม่หมด

เนื่องจาก กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ ต้องเชื่อมต่อกับ เราเตอร์ อินเตอร์เน็ตตลอดเวลา  ดังนั้น กรณีเราเตอร์ที่บ้านเสีย ต้องเปลี่ยนใหม่  หรือ เปลี่ยนค่ายเน็ตใหม่ จะต้องทำการเชื่อมต่อกล้องไร้สายใหม่ทั้งหมด ปัญหาส่วนใหญ่ที่ผู้ใช้เจอ คือ ” คู่มือหาย จำขั้นตอนการเชื่อมต่อไม่ได้  และ จำ PASSWORD กล้องไร้สายไม่ได้ ” ทำให้เชื่อมต่อไม่สำเร็จ หากมีกล้องไร้สายหลายๆตัวก็ต้องทำการเชื่อมต่อใหม่หมดทุกตัว

8. ไฟดับ เมื่อไฟกลับมา กล้องยังไม่ทำงาน

กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟบางรุ่น ” เมื่อเกิดไฟดับ และ ไฟกลับมาปกติ ” กล้องจะยังไม่เชื่อมต่อกับเราเตอร์ ผู้ใช้จำเป็นต้องถอดปลั๊กกล้องและเสียบใหม่ทุกครั้ง  

สรุปกล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ  (Robot WIFI CAMERA) เหมาะสำหรับ ร้านค้าที่เจ้าของร้านอยู่เองเป็นประจำ สามารถซื้อมาติดตั้งได้ในราคาไม่แพง เพื่อเก็บหลักฐานที่ไม่สำคัญ หรือ อาจจะซื้อมาติดตั้งวางไว้ที่บ้าน สำหรับดูลูกๆ หรือ คนชรา ที่บ้าน

แต่ กล้องไร้สายโรบอท ไวไฟ (Robot WIFI CAMERA)  ไม่เหมาะสำหรับงานระบบความปลอดภัย เนื่องจากยังมีช่องโหว่อยู่มากหลายข้อดังกล่าวไว้ข้างต้น

บทความอื่นๆที่น่าสนใจคลิกที่นี่ค่ะ

ที่ ไมนิคส์ มีทีมงานประสบการณ์สูง 28 ปี ในการออกแบบ ติดตั้ง กล้องวงจรปิด CCTV ครบวงจร ในราคาเป็นกันเอง ผลงานติดกล้อง 100,000 ตัวมากที่สุดในภาคอีสาน

สามารถติดต่อไมนิคส์ได้ที่ 043-237780 , 083-1417449 

————————————————————–

ดูโปรโมชั่นกล้องวงจรปิด คลิกที่นี่

เยี่ยมชมผลงานที่ผ่านของบริษัท คลิกที่นี่